Sunday, April 12, 2015

มาริโอ้ เมาเร่อ เกณฑ์ทหารเขตประเวศ จับได้ใบดำไม่ต้องเป็นทหาร แฟนคลับลุ้นระทึก หลังเจ้าตัวใช้สิทธิ์ยื่นผ่อนผันครบแล้ว
          ทำเอาบรรดาคนที่มาเฝ้ารอคัดเลือกทหารเกณฑ์ประจำปี 2558 ที่โรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลาเขตประเวศคึกคักกันเลยทีเดียว หลัง มาริโอ้ เมาเร่อ นัก แสดงหนุ่มชื่อดัง ได้มาเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ด้วยเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (7 เมษายน 2558) โดยทางเขตประเวศนั้น ต้องการกำลังพลรับใช้ชาติ 94 คน โดยมีชายไทยมารายงานตัวทั้งสิ้น 581 คน
            สำหรับ มาริโอ้ เมาเร่อ ได้ ยื่นเรื่องสละสิทธิ์การผ่อนผัน เนื่องจากอายุครบเกณฑ์ คือ 26 ปีแล้ว และสิ่งที่สามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวแท้ สาวเทียมได้ดีที่สุด คงไม่พ้นภาพของหนุ่มมาริโอ้ ที่ถอดเสื้อโชว์กล้ามล่ำ ๆ ขณะรอเกณฑ์ทหารนั่นเอง  

          ล่าสุดมีรายงานว่าพระเอกหนุ่ม มาริโอ้ เมาเร่อ จับได้ใบดำ อดเป็นทหารรับใช้ชาติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่แฟนคลับเฮลั่น มาริโอ้ ไม่ต้องเป็นทหาร หลังเจ้าตัวใช้สิทธิ์ยื่นผ่อนผันครบแล้ว

          ขณะเดียวกัน อินสตาแกรม mariotaew_pantip มีการโพสต์คลิปวินาทีที่มาริโอจับใบดำใบแดง อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร คลิกที่นี่เลย

ที่มา : world.kapook.com


วินาที สำคัญที่บีบหัวใจกองเชียร์ของพระเอกหนุ่มชื่อดัง “มาริโอ้ เมาเร่อ”  ก็สิ้นสุดลงเมื่อเจ้าตัวจับได้ใบดำ ในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการ ปี 2558  ภายในโรงเรียนวัดกระทุ่มเสือปลา เขตประเวศ



พ่อเฒ่าวัย 80 ถือไม้เท้าสะพายกระเป๋า ขึ้นรถไฟแล้วต่อรถยนต์ จากพิษณุโลกมาตามหาลูกสาวที่สัตหีบ มีเพียงรูปถ่าย 1 ใบ กับความหวังที่อยากเจอหน้า และให้ลูกสาวรดน้ำสงกรานต์สักครั้งก่อนตาย บอกเป็นเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในความทรงจำ…
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 9 เม.ย. 58 ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจากพลเมืองดี ว่า พบชายสูงอายุ มีกระเป๋าสัมภาระ 2 ใบ เดินถือไม้เท้าตระเวนตามหาบุตรสาวอยู่ในตลาดสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบพยาบาลของคลินิกแพทย์ศรีจุฬา ได้ให้การช่วยเหลือไว้ ทราบชื่อภายหลังคือ นายมาลัย กุฎมหาราช อายุ 80 ปี มีภูมิลำเนาอยู่เลขที่ 123/38 ม.5 ต.อรัญญิก อ.เมืองพิษณุโลก จึงได้เข้าพบ ร.ต.อ.หญิง กาญจนพัสร์ ปฐวีศรีสุธา พนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ เพื่อให้ช่วยเหลือติดตามหาตัวบุตรสาว
จากการสอบถามนายมาลัย เปิดเผยว่า ตนมีบ้านพักอยู่ใน จ.พิษณุโลก ได้พลัดพรากจากบุตรสาว คือ นางจินตนา กุฎมหาราช อายุ 47 ปี มานานหลายปี แต่ช่วงนี้เห็นว่าใกล้ถึงวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย จึงอยากได้พบหน้าลูกสาวอันเป็นที่รักอีกสักครั้ง และให้ลูกสาวได้รดน้ำดำหัว ตนจะได้ให้ศีลให้พร หลังทราบว่าบุตรสาวมาอาศัยอยู่กับสามีที่ อ.สัตหีบ จึงขึ้นรถไฟออกเดินทางจากบ้านมุ่งสู่กรุงเทพมหานคร ก่อนจะต่อรถโดยสารมาลงที่ปลายทางสัตหีบ โดยไม่มีที่อยู่ หรือเบอร์โทรติดต่อที่แน่ชัด มีเพียงความหวังว่า บุตรสาวจะยังมีชีวิตอยู่ และจะได้พบกัน ซึ่งตนหวังจะได้เจอหน้าลูกสาวคนนี้สักครั้งก่อนตาย เพราะเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ในความทรงจำ หลังชีวิตต้องพบกับโรคหลงลืมของคนแก่
เมื่อ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา โลกโซเชียลมีการเผยแพร่ภาพ สาวประเภทสอง เข้ารับการเกณฑ์ทหารกันอย่างแพร่หลาย แต่ที่สร้างความฮือฮาที่สุดคือ น้องเฟรม จากลำปาง ที่เป็นที่ฮือฮามากที่สุดจากความสวยไม่น้อยหน้าหญิงแท้ จนหนุ่มๆที่เข้ารับการเกณฑ์ทหารต้องตกตะลึงตามๆกันไป
ทั้งนี้สาวสองคนดังกล่าว คือ น้องเฟรม นายวรณัน นลัทวรสกุล อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาวิทยุและโทรทัศน์  และยังเป็นเจ้าของตำแหน่ง ดาวเทียม ธุรกิจบัณฑิตย์ ปี 2557
อย่างไรก็ตาม หลังจากภาพการเกณฑ์ทหารของน้องเฟรมถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากชมชื่นชมในความสวยที่ไม่แพ้ผู้หญิงจริง อีกทั้งบางรายที่รู้จักยังระบุว่าน้องเฟรมเป็นคนนิสัยดีอีกด้วย
เรียบเรียงข้อมูลโดย Ch7 News Online
ขอขอบคุณภาพและข้อมูล เฟซบุ๊ค Woranun Nalatworasakul
แหล่ง  www.khaosod.co.th

Saturday, April 11, 2015

“เทศกาลมหาสงกรานต์” เป็นอีกหนึ่งประเพณีสำคัญของคนไทยในรอบปี เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญที่คนไทยจะได้พักผ่อน ท่องเที่ยว เยี่ยมญาติพี่น้อง ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขไปกับเทศกาลหนึ่งที่คนไทยตั้งตารอคอยมาตลอดทั้ง ปี

เลิก‘เมา-ขับ-เร็ว’หยุดตัวเลขความตาย

            แต่ในเทศกาลสงกรานต์ทุกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นทางคู่ขนานไม่พ้นเรื่อง "อุบัติเหตุ“ ทางถนน ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ถูกรายงานผ่านสื่อมวลชนราวกับเป็นสถิติที่ควบคู่เทศกาลนี้โดยไม่มีทางแยกออก กันได้ ถึงแม้หน่วยงานภาครัฐจะระดมสรรพกำลังและมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด แต่สุดท้ายใน ”ปฏิทิน 7 วันอันตราย" ยังมีสถิติอุบัติเหตุในระดับที่สูง และดูเหมือนว่ามาตรการทางกฎหมายที่ถูกบังคับใช้นั้น ยังไม่สามารถ “หยุด” ตัวเลขผู้เสียชีวิตได้เท่าที่ควร

            เมื่อย้อน “สถิติ” ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 ปีหลัง จากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พบว่า ในสงกรานต์ปี 2551 มีผู้เสียชีวิต 368 ราย สงกรานต์ปี 2552 มีผู้เสียชีวิต 373 ราย สงกรานต์ปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 361 ราย สงกรานต์ปี 2554 มีผู้เสียชีวิต 271 ราย สงกรานต์ปี 2555 มีผู้เสียชีวิต 320 ราย สงกรานต์ปี 2556 มีผู้เสียชีวิต 321 ราย และล่าสุดสงกรานต์ปี 2557 มีผู้เสียชีวิต 322 ราย สาเหตุหลักเกิดอุบัติเหตุสูงสุดยังเป็นเรื่อง “เมาสุรา” ร้อยละ 31.9 และขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 23.6 ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ “รถจักรยานยนต์” ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางหลวงแผ่นดินร้อยละ 37.9 ถนนในหมู่บ้านร้อยละ 36.7 ทางตรงร้อยละ 64.9 ทางโค้งร้อยละ 19.7

            หากรวบรวมสถิติตั้งแต่ปี 2549-2557 พบว่า มีอุบัติเหตุไม่ต่ำกว่า 3,000 ครั้ง ผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 300-400 ราย หรือคิดเฉลี่ยการเสียชีวิต 1 รายในทุกครึ่งชั่วโมง รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 ปี จำนวน 2,860 ราย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ “น่ากลัว” ไม่น้อย

            ในปีนี้ ศปถ.ได้กำหนดวันที่ 9-15 เมษายน เป็นช่วงลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นทั่วประเทศ โดยวางมาตรการควบคุมตั้งแต่ช่วงต้นของการเดินทาง ให้เน้นหนักจุดตรวจ จุดสกัดบนถนนสายหลัก เพื่อ “เฝ้าระวัง”การใช้ความเร็ว ส่วนช่วงกลางวันหยุดสงกรานต์ให้เข้มงวดถนนสายรอง ชุมชน หมู่บ้าน และจุดเล่นน้ำสงกรานต์เป็นพิเศษ เพื่อควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ทั้งการดื่มแล้วขับและเล่นน้ำคึกคะนอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน

            ส่วนในพื้นที่เมืองหลวง “กทม.” ได้เตรียมแผนปฏิบัติไว้ 2 ช่วง 1.ช่วง “รณรงค์” จะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่ออย่างเข้มข้นให้ประชาชนรับทราบมาตรการป้องกัน 2.ช่วง “ควบคุมเข้มข้น” วันที่ 11-17 เมษายน จะตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน บนเส้นทางถนนสายหลัก สายรองในกรุงเทพฯ โดยระดมเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานร่วมปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง โดยให้เน้นเรื่อง “เมาไม่ขับ” มากที่สุด

            เมื่อเจาะลึกสถิติส่วนใหญ่พบว่า “เมาแล้วขับ” ยังเป็นสาเหตุหลักที่ออกมาขวางตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่เคยลดลง โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ ยังเป็นยานพาหนะที่นำไปสู่การเสียชีวิตในระดับต้นๆ โดยจะเห็นได้อย่างชินตาว่า กลุ่ม “เด็กแว้น” จะรวมตัวไม่สวมหมวกกันน็อกเพื่อซิ่งอย่างคึกคะนอง ปิดถนนเพื่อท้าทายความเร็ว หรือขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดง หรือตั้งใจ “เมาแล้วขับ” บนถนนโดยไม่กลัวกฎหมาย ขณะเดียวกันยังเห็นเจ้าหน้าที่ “บางส่วน” ปล่อยให้มีการทำผิดจากกลุ่มวัยรุ่นบนถนน ทำให้ที่ผ่านมาสังคมตั้งคำถามอย่างเสียงดังว่า เทศกาลสงกรานต์แต่ละปีเป็นช่วงเว้นวรรคการใช้กฎหมายจราจรด้วยหรือไม่

            "สุรสิทธิ์ ศิลปงาม" ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ เคยระบุว่า สถิติผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์ปี 2557 ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหากมาตรการที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 2546 ยังเหมือนเดิม ผลลัพธ์จึงออกมาเช่นนี้ ในสงกรานต์ปี 2558 ตัวเลขผู้เสียชีวิตน่าจะอยู่ในระดับ 300 บวกลบไม่เกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์ จึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ประเทศไทยจะเลิกเกรงใจนายทุนเหล้าเบียร์ และหันมาปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์บนท้องถนนอย่างจริงจัง เพราะสาเหตุหลักของผู้เสียชีวิตในช่วงสงกรานต์เกิดจากการเมาแล้วขับ จึงต้องมาแก้ที่ต้นเหตุในการควบคุมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง มูลนิธิเมาไม่ขับจึงเสนอให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็นวัน “งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เพื่อลดการเข้าถึงและตัดตอนวงจรเมาแล้วขับ

            “ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตติดอันดับ 3 ของโลกจากอุบัติเหตุจราจร ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตขึ้นสวนทางรอยเลือดและคราบน้ำตาของคน ไทย แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนยังมัวแต่เกรงใจนายทุนเหล้าเบียร์ ปล่อยให้แสวงหาผลประโยชน์บนความหายนะของคนไทย ภาพเด็กเยาวชนไทยตายจากการเมาแล้วขับบนท้องถนนในเทศกาลสงกรานต์ น่าจะเป็นข้อเตือนสติผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องคุมการขายเหล้าเบียร์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างเข้มข้น” ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ ระบุ

            “ไกร ตั้งสง่า” ประธานคณะกรรมการสวัสดิการ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) เห็นว่า การรณรงค์ 7 วันอันตรายในช่วงสงกรานต์เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จึงอยากเสนอให้เปลี่ยนแนวทางการรณรงค์ เป็น “365 วันอันตราย” เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงแนวทางลดปัญหาอุบัติเหตุอย่างยั่งยืน โดยภาครัฐควรเพิ่มความเข้มงวดในการขอใบอนุญาตขับขี่ พัฒนาการออกแบบถนนเพื่อลดอุบัติเหตุ หรือการดูแลไฟส่องสว่างตามถนนจุดต่างๆ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา รวมทั้งเสนอให้จัดตั้ง “คณะกรรมการความปลอดภัยทางคมนาคมแห่งชาติ” เพื่อวางแผนแก้ไข และป้องกันอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเสนอเป็น “วาระแห่งชาติ” ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และส่งเสริมการสร้างวินัยจราจรตั้งแต่เด็กจนโตอย่างต่อเนื่อง

            ทั้งหมดจึงเป็นเสียงสะท้อนจากภาคสังคมต่อมาตรการลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วง สงกรานต์ ที่ต้องมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มาตรการเป็นเพียงแค่ “ตัวประกอบ” ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขของคนไทยเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะมีโรดแม็พที่เข้มข้นมากแค่ไหน หาก “สำนึก” แห่งการรณรงค์ยังไม่เกิดขึ้นจากภาครัฐ เอกชน และพลเมือง “ตัวเลขแห่งความตาย” ในปฏิทิน 7 วันอันตราย จะยังไม่มีวันลดลงไปจากนี้แน่นอน

Source : http://www.komchadluek.net/detail/20150411/204520.html
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
(10 เม.ย.) มีรายงานว่า เวลาประมาณ 22.30 น. เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดขึ้นที่บริเวณชั้นใต้ดิน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เกาะสมุย และเกิดเหตุระเบิดที่สหกรณ์โค-อ๊อพ ที่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเหตุให้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง
ทั้งนี้ เสียงดังคล้ายระเบิด ที่บริเวณชั้นใต้ดินห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี  เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 6 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 4 คน รถยนต์เสียหายประมาณ 10 คัน และอาคารมีรอยร้าว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุสันนิษฐานว่าเป็นคาร์บอม
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ประมาณ 22.30 น. เกิดเหตุไฟไหม้สหกรณ์โคอ๊อพสุราษฎร์ธานี ต.หนองไทร อ.เมือง ทำให้อาคารศูนย์อาหารและศูนย์การค้าเสียหายทั้งหมด เจ้าหน้าที่ต้องระดมรถดับเพลิงจำนวนมากเข้าฉีดน้ำเร่งดับไฟที่โหมไหม้อย่าง รุนแรง แต่เนื่องจากมีสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมากอยู่ในศูนย์การค้า กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้การดับไฟเป็นไปด้วยความอยากลำบาก ผ่านมากว่า 1 ชม. เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงบริเวณศูนย์อาหารไว้ได้ไม่ให้ลุกลามไปยังส่วน ของภัตตาคารและจุดขายสินค้าโอท็อป ส่วนโซนซุปเปอร์มาร์เก็ตเจ้าหน้าที่ยังคงใช้ความพยายามดับเพลิงอย่างเร่ง ด่วน
นอกจากนี้ ที่ จ.พังงา ยังเกิดเหตุไฟไหม้ห้างซูเปอร์ชีพ อ.โคกกลอย เบื้องต้นได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไประงับเพลิงไหม้แล้ว
ล่าสุด 00.35 น. (11 เม.ย.) ผู้ว่าฯ จ.สุราษฎร์ธานี เผยกรณีเหตุระเบิดเซ็นทรัลสมุย มีผู้บาดเจ็บ 10 คน รถยนต์เสียหาย 10 คัน รอ EOD ตรวจสอบในช่วงเช้า
ส่วนเหตุเพลิงไหม้สหกรณ์ CO-OP ขณะนี้สามารถควงคุมเพลิงได้ในวงจำกัด ไม่มีผู้บาดเจ็บ โดยก่อนเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง

ระเบิดลานจอดรถเซ็นทรัลสมุย
ระเบิดลานจอดรถเซ็นทรัลสมุย
ภาพไฟไหม้สหกรณ์โคอ๊อพ
ภาพไฟไหม้สหกรณ์โคอ๊อพ
ภาพไฟไหม้สหกรณ์โคอ๊อพ

หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป
ขอบคุณภาพเหตุคาร์บอมจาก ทวิตเตอร์ @js100radio
Soure: Sanook.com

Wednesday, April 8, 2015

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้โดยสารที่ได้รับการช่วยเหลือขึ้นฝั่งปลอดภัยทุกคน โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ที่แน่ชัดอีกครั้ง
วัน ที่ (8เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 16.30น. เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำกระบี่รับแจ้งเหตุ เรือท่องเที่ยวของอ่าวนางปริ้นเซส ซึ่งเป็นเรือโดยสารท่องเที่ยว แล่นให้บริการระหว่างจังหวัดกระบี่-ภูเก็ต เกิดเพลิงไหม้ ลอยอยู่ในทะเลห่างออกจากฝั่งประมาณ 2 กิโลเมตร ฝั่งตรงกันข้ามหน้าหาดนพรัตน์ธาราอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่